Google
 

싼야민공- Phomthong's LiveTV 3G+ Online

phomthong on livestream.com. Broadcast Live Free

(Jason Mraz) I'm Yours - Sungha Jung (Ukulele)

Life is a Learning!

Life is a Learning!
เรียนรู้..สนุ๊กๆ สนุก 55

การศึกษาเอกชนก้าวหน้า ก้าวไกล สู่สากล

การศึกษาเอกชนก้าวหน้า ก้าวไกล สู่สากล
การศึกษาเอกชนก้าวหน้า ก้าวไกล สู่สากล

เพลง ให้กำลังใจ... คนทำดี

กด Like กันหน่อย

กด Like กันหน่อย
น้ำขอฝากกด like ลิ้งนี้หน่อยน๊ะค๊ะhttp://www.facebook.com/photo.php?fbid=196392667080030&set=o.107529016008262&type=1&theater%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81 ๆ ค๊ะ

เกาะฟรีแลนซ์อัจฉริยะ.. รวมคนสมาร์ท

เกาะฟรีแลนซ์อัจฉริยะ.. รวมคนสมาร์ท
Sense Smart Freelance Island

Happy Land แดนมหัศจรรย์

Happy Land แดนมหัศจรรย์
"นิโคล์โกะแลนด์" ...หลานสาวซานต้าคลอส

Learn English Online

Learn English Online
English is fun! ภาษาอังกฤษ.. สนุ๊ก สนุก

Japanese is fun! ภาษาญี่ปุ่นสนุ๊ก..สนุก

สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.)

หนังสือเรียน ระดับ อนุบาล (พว.)

3S:Sense Smart School e-Tutor "เรียนสนุก ด้วยทักษะคิดค้นหาอย่างมีสุข"

Sweet Green Bean Band:
"วงถั่วเขียวต้มน้ำตาล"
....
"พวกเราชาวถั่วเขียว มาร้องเพลง ให้พวกท่านฟัง..
ฟังแล้ว จะสุขสันต์ รื่นรมย์ ผสมฮาเฮ..
...ฮึมๆ ฮีมๆ ฮีมๆ .... ถั่วเขียวต้มน้ำตาล..."

ติดตามผลงาน..ของวงอินดี้ แนวๆ ...บอยแบนด์น้องใหม่ได้เร็วๆ นี้
... "ใครไม่แนว วงเราแนวๆ "

By Phomthong 's Studio

How to electric (วิทย์ ม.ต้น) 1/2

How to electric (วิทย์ ม.ต้น) 2/2

ชุมนุมนันทนาการเพื่อสุขภาพ

ชุมนุมนันทนาการเพื่อสุขภาพ
เทเบิลเทนนิส(ปิงปอง), บาสเกตบอล, แบดมินตัน

นวัตกรรมสื่อออนไลน์

สื่อการสอนอังกฤษ ESL Teachers

"the promise"-Jang Yun-jeong

Speak Korean is fun!

Conversation 1

Basic English Conversation - Introduce yourself 1/75

พัฒนาอังกฤษ ม.4-6 ตอนที่ 1

Basic English-Chinese 1 : Introduce Yourself

e-Book Basic Chinese 1

English Tongue Twisters: ฝึกอ่านคล่อง

- THE QUICK BROWN FOX JUMPS OVER THE LAZY DOG.



e-Book: The Heinle Picture Dictionary: (คลิ๊กที่รูปเพื่อดู..เต็มหน้า..Share / Load)

English Grammar Fun Zone: มุมไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแสนสนุก

Write English Alphabets Correctly.

Part 1 Part 2

ศูนย์ติวเตอร์ออนไลน์

Friday, October 29, 2010

วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย

สมโภชนักบุญทั้งหลาย

ตั้งแต่แรกพระคัมภีร์ได้สงวนนามนี้ “ นักบุญ” หรือ “ ผู้ศักดิ์สิทธิ์” ไว้สำหรับพระยาเวห์แต่เพียงผู้เดียว เพราะว่าพระเจ้า คือ “ อีกผู้หนึ่ง” หรือ “ ผู้อื่น” ซึ่งอยู่นอกเหนือสิ่งทั้งหลาย พระองค์ทรงอยู่ห่างไกลจากเราเหลือเกินจนเราไม่อาจคิดได้ว่าเราจะสามารถมีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์ได้อย่างไร เมื่อมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระ เจ้า ผู้เป็นองค์ความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง (ปฐก 28:10-19; 1 ซมอ 6:13-21; 2 ซมอ 6:1-10) มนุษย์ไม่สามารถจะทำอะไรอย่างอื่นได้นอกจากกราบไหว้นมัสการและยำเกรงพระองค์ ( อพย 3:1-6; ปฐก 15:12)

ในศาสนานี้สามารถช่วยให้รอดได้เช่นของพวกอิสราแอล พระเจ้าเองต้องเป็นผู้ประทานความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้แก่ประชากรของพระองค์ ( อสย 12:6-29; 19-23;30: 11-15;31:1-3) ซึ่งตัวเขาเองได้กลายเป็น “ อีกผู้หนึ่ง” เหมือนกัน โดยเขาจะประพฤติตนแตกต่างไปจากชนชาติอื่น ๆ จากการเจริญชีวิตประจำวันของพวก เขา และเป็นต้นจากการแสดงออกของพวกเขาโดยทางจารีตพิธีกรรมต่างๆ (ลนต19:1-37;21: 1-23 ; วว 4:1-11) แต่ว่าเพื่อจะสามารถบันดาลให้ความศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้บรรลุผลสำเร็จ ตามที่พระเจ้าได้ทรงเรียกพวกเขามายังความศักดิ์สิทธิ์นี้นั้น ประชากรผู้ได้รับเลือกสรรไม่มีวิธีการอะไรอย่างอื่นนอกจากการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับต่างๆ และการปฏิบัติการชำระล้างให้สะอาดหมดจด (ปราศจากมลทิน)ทางด้านภายนอกเท่านั้น ไม่ช้าไม่นาน พวกเขาได้มีจิตสำนึกถึงความไม่เพียงพอของวิธีการต่างๆ เหล่านี้ พวกเขาจึงได้เจาะจงแสวงหาวิธีการใหม่ที่จะสามารถช่วยพวก เขาให้ได้มีส่วนในชีวิตของพระเจ้า วิธีการใหม่นี้ก็คือ “ หัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์” ( อสย 6:1-7; สดด 14; อสค 36: 17-32; 1 ปต 1:14-16) พวกเขาได้ตั้งความหวังไว้ว่า ความศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาจะได้รับนั้นต้องมาจากพระเจ้าโดยตรง (อสค 36: 23-28)

อ้างอิง http://www.naphoradio.com/Halloween.php

วันเสกสุสาน

วันระลึกถึงบรรดาผู้ล่วงลับ/วันเสกสุสาน

วันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวันระลึกถึงบรรดาผู้ล่วงลับ (หรือที่เรียกว่า วันระลึกถึงวิญญาณในไฟชำระ) พระศาสนจักรถือว่า บรรดาผู้ล่วงลับกับผู้มีชีวิตนี้ มีความผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยอาศัยคำภาวนา และการร่วมบูชามิสซา ผู้ล่วงลับมิใช่ผู้ที่จากไป อยู่อีกทีหนึ่ง หรืออีกโลกหนึ่ง โลกที่ไม่สามารถติดต่อสัมพันธ์กันได้ แต่ผู้ล่วงลับ คือ ผู้ที่ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระ และสักวันหนึ่งภายหน้าก็จะกลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูคริสตเจ้า

ทำไมต้องระลึกถึงบรรดาผู้ล่วงลับ
การที่พระศาสนจักรกำหนดให้เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนระลึกถึงผู้ล่วงลับนั้น เพราะเรามีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีร่างกาย จิตใจและวิญญาณ เมื่อถึงวันที่ร่างกายจบสิ้น(ตาย) แต่วิญญาณนั้นคงอยู่ วิญญาณจะรับผลของร่างกายที่เป็นผู้กระทำ ไม่ว่าจะเป็นผลของความดี หรือความชั่ว แน่นอนมนุษย์ทุกคนมีทั้งความดี และความผิดบกพร่องด้วยกันทุกคน โดยความเชื่อของเราซึ่งเป็นคาทอลิก เราเชื่อว่าผู้ที่ตายไปแล้วจะได้ไปพบกับพระเป็น เจ้า แต่บุคคลที่จะพบกับพระเป็นเจ้าได้นั้น ต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งขณะเดียวกันเราก็เชื่อว่าในความเป็นมนุษย์ที่มีความอ่อนแอ คงไม่มีใครสามารถชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ได้ทั้งหมด ดังนั้นผู้ที่ล่วงลับไปในขณะที่ยังมีมลทินของบาป บาปเบา เศษของบาป หรือยังไม่บริสุทธิ์พอที่จะได้ไปพบพระเป็นเจ้า พวกเขาเหล่านั้น ยังต้องใช้โทษของตน อยู่ในที่แห่งหนึ่ง ที่เรียกว่าไฟชำระ และในไฟชำระนี้ เขาจะได้รับการทดลองอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะช้านานแล้ว แต่สภาพของวิญญาณของเขา เมื่อผ่านพ้นช่วงนั้นไปแล้ว พวกเขาจะได้เข้าสู่สวรรค์ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนที่มีชีวิตทุกคนที่จะสวดภาวนาให้กับผู้ล่วงลับที่อยู่ในไฟชำระ เพื่อวอนขอพระเป็นเจ้าทรงมีพระเมตตา อภัยโทษ ความผิดบาปต่าง ๆ ให้กับเขา เพื่อเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร ร่วมสุขกับพระองค์ในสวรรค์ เพราะผู้ล่วงลับเหล่านั้น ไม่อยู่ ในสภาพที่จะช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากความผิดบาปที่กระทำได้ มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่จะสามารถช่วยพวกเขา ได้ และหน้าที่ของการภาวนาและขอมิสซาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับนั้น ยังเป็นเรื่องของความยุติธรรม และความกตัญญูกตเวทีของเราทุก ๆ คนอีกด้วย เพราะผู้ล่วงลับเหล่านั้น อาจเป็นบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ครูบาอาจารย์ นักบวชชาย หญิง พระสงฆ์ พระสังฆราช หรือมิตรสหายของเรา ฯลฯ ซึ่งมีส่วนผูกผัน และเคยเกี่ยวข้องกับเรามาไม่มากก็น้อยในอดีตที่ผ่านมา ท่านเคยอยู่ในโลก ……จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในกรณีเช่นนี้……..

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ล่วงลับ
การสวดภาวนาและขอมิสซาให้กับผู้ล่วงลับนั้น ถือเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่มีชีวิตอยู่ เพื่อวอนขอพระเจ้า ได้เมตตากับบรรดาผู้ล่วงลับทั้งหลาย ให้พวกเขาได้พ้นจากบาปต่าง ๆ ที่กระทำ และได้เข้าไปอยู่กับพระเป็นเจ้า โดยเร็ววัน ซึ่งการขอมิสซาให้ผู้ล่วงลับ ถือเป็นคำภาวนาที่ดีที่สุด เป็นการระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำให้ อดีต ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ การกลับคืนชีพ ฯลฯ และในบูชามิสซานี่เอง ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรักที่ พระเป็นเจ้าทรงมีต่อชีวิตมนุษย์ ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ถวายความรัก การต่อสู้ทุก ๆ อย่างของมนุษย์เป็นเกียรติ แด่พระเป็นเจ้าด้วย ดังนั้นรางวัลสำหรับมนุษย์ ที่ได้ต่อสู้และแบกกางเขนร่วมกับพระองค์ในโลกนี้ ก็คือ รางวัลของ ชีวิตนิรันดรในโลกหน้า ชีวิตที่ได้อยู่ร่วมกับพระเป็นเจ้าองค์แห่งความรัก นอกจากนั้น การขอมิสซาของเราเพื่อผู้ ล่วงลับ ยังถือเป็นการสละแรงกาย ทรัพย์สินเงินทอง เพื่อเป็นบูชาถวายแด่พระเป็นเจ้า โดยอาศัยคำภาวนาของ พระสงฆ์ ผ่านทางบูชามิสซาที่ถวายร่วมกัน จะเห็นได้จากในพิธีบูชามิสซาจะมีการสวดภาวนาให้กับผู้มีชีวิต และผู้ ล่วงลับไปแล้ว เพราะเราเชื่อว่าผู้ล่วงลับหรือผู้ที่มีชีวิตอยู่นั้น ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นบูชามิสซาจึงเป็นเครื่อง หมายของความเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งผู้มีชีวิตและผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว

ภาวนาและขอมิสซาให้ผู้ล่วงลับ เขาจะได้รับหรือไม่???
การขอมิสซา การอุทิศส่วนกุศล ส่วนบุญของเราด้วยทรัพย์สินเงินทอง แรงกาย ถวายแด่พระเป็นเจ้า เป็น การทำบุญให้กับผู้ล่วงลับ เพื่อเขาจะได้ไปมีชีวิตนิรันดร์เร็วขึ้นนั้น เราจะทราบได้อย่างไรว่าผู้ล่วงรับเหล่านั้นได้รับ หรือไม่ ??? และบางคนที่ลงนรกไปแล้ว เราสวดภาวนาให้ก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเขาก็ไม่สามารถเอาตัวรอดไปสว รรค์ได้ แต่ใครล่ะจะกล้าตัดสินว่า บุคคลนี้ต้องไปนรกแน่ ๆ เพราะแม้แต่คนที่เลวร้ายที่สุด หากวินาทีสุดท้ายเขาได้ กลับใจ และได้รับพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าล่ะ ดังนั้นสิทธิของการตัดสินนี้จึงยกให้เป็นหน้าที่ของพระเป็นเจ้า พระองค์จะทรงเป็นผู้ตัดสินในทุกเรื่อง ๆ รวมท้ังเป็นผู้ให้ส่วนกุศลต่าง ๆ ที่เราได้กระทำให้นั้นแก่วิญญาณของผู้ ที่เราปรารถนาสวดภาวนาให้ หรือวิญญาณที่ควรสวดภาวนาให้ หรือให้กับวิญญาณที่ไม่มีใครคิดถึงเลยเราจงมั่น ใจว่าเถิดว่า “กิจการดี กิจการกุศล และการภาวนาอุทิศให้กับผู้ล่วงลับนี้ พระเจ้าพระองค์จะทรงให้เกิดผลเสมอ พระองค์ไม่ปล่อยให้คำภาวนา ไร้ค่าแน่นอน” ดังนั้นจึงไม่กังวลว่าคำภาวนาและมิสซาที่เราขอไปในผู้ล่วงลับจะได้ รับหรือไม่

ชีวิตหลังความตาย
ชีวิตหลังความตายเป็นโลกที่หลายๆคนอยากทราบว่าเป็นเช่นไร แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้แน่ชัดนักเพราะ เราทุกคนต่างอยู่ในสภาพของผู้มีชีวิต ไม่มีใครเคยพบว่าชีวิตหลังความตายเป็นเช่นไร เราทราบแต่เพียงว่า มนุษย์ ทุกคนเกิดมาย่อมมีเป้าหมายในชีวิต และเป้าหมายสุดท้ายที่มนุษย์ทุกคนหวังไว้ก็คือ หลังจากที่ได้ทำความดี ต่อสู้ กับอุปสรรคต่าง ๆ มากมายในโลกนี้ แบกกางเขนติดตามพระเยซูเจ้าแล้ว วันหนึ่งเมื่อต้องจบชีวิตในโลก ก็ขอให้ ได้มีชีวิตใหม่อยู่กับพระเป็นเจ้า ในสวรรค์ ซึ่งสรรค์นั้น เป็นแบบใด และอยู่ที่ไหนก็มิอาจรู้ได้ สวรรค์อาจมิใช่สถาน ที่ที่สวยความ อย่างที่เราคิดฝัน แต่สวรรค์ คือ สภาวะของความสุข ความบริบูรณ์ที่เราบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ เป้าหมายในชีวิตที่จะได้ไปอยู่กับพระเป็นเจ้า และเป้าหมายที่เราได้รับนั้น ก็คือชีวิตหลังความตายที่จะได้พบเจอ นั้นเอง

การจัดพิธีต่าง ๆ ให้ผู้ล่วงลับบอกอะไรกับเรา
เมื่อมีคนหนึ่งคนใดล่วงลับ มนุษย์จะให้เกียรติกับผู้ล่วงลับ โดยการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่อง หมายแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่จากโลกนี้ไปกำลังเดินทางไปพบกับความสุขในโลกหน้า ซึ่งคาทอลิกเรามีเชื่อว่าโดยอา ศัยศีลล้างบาปเราจะสามารถผ่านไปสู่ชีวิตพร้อมกับพระองค์โดยผ่านทางความตายของวิญญาณ ผู้ล่วงลับทุกคนที่ อยู่ในศีลในพรของพระ ได้ตายกับพระคริสตเจ้า จะได้กลับมามีชีวิตใหม่พร้อมกับพระองค์ เหมือนกับที่พระคริสต เจ้าได้สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนชีพใหม่ ดังนั้นพิธีกรรมต่างไม่ว่าจะเป็นการตั้งศพ การสวดภาวนาให้มิสซาปลง ศพ และการฝั่งศพ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาลักษณ์และเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้ล่วงลับนั้น วันหนึ่งจะได้ กลับฟื้นคืนชีพใหม่ ซึ่งเป็นความหวังของชีวิตคริสตชน

ทำไมต้องจุดเทียน??
เทียนเปรียบเสมือนแสงสว่างของพระคริสตเจ้า การจุดเทียนให้กับผู้ล่วงลับในวันเสกสุสาน เป็นการเตือน ใจเราให้เปิดใจมองเห็นแสงสว่างของพระเป็นเจ้า รวมทั้งขอให้บรรดาผู้ล่วงลับทั้งได้เห็นแสงสว่างของพระเป็นเจ้า ด้วย นอกจากนั้นเทียนยังมีความหมายถึงการให้เกียรติแด่บรรดาผู้ล่วงลับอีกด้วย
จึงกล่าวได้ว่าเดือนนี้เป็นเดือนพิเศษที่พระศาสนจักรของเราเปิดโอกาสให้เป็นเดือนระลึกถึงบรรดาผู้ล่วงลับ และวิญญาณที่ไม่มีใครนึกถึง เป็นโอกาสดีที่พวกเราทุกคนจะร่วมกันสวดภาวนาและขอมิสซาให้กับบรรดาผู้ล่วงลับ ทั้งหลาย ญาติพี่น้อง และผู้ที่ไม่มีใครคิดถึง เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่อยู่ในสถานะ ที่จะช่วยเหลือตัวเองให้พ้น จากความผิดบาปได้ มีเพียงพวกเราเท่านั้ น ที่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเราทุกคนควรจะระลึกถึง บรรดาผู้ล่วงลับ หรือญาติพี่น้องที่จาก มิใช่เฉพาะแต่เดือนผู้ตายเท่านั้น แต่ควรระลึกทุก ๆ วัน เพื่อพวกเขาจะได้ ไปอยู่กับพระเป็นเจ้าโดยเร็ววันและเมื่อพวกเขาได้รับชีวิตนิรันดรในสวรรค์แล้วพวกเขาก็จะไม่ลืมที่จะสวดภาวนา ให้พวก เราเช่นกัน……..

ข้อมูลประกอบการเขียน : บทสัมภาษณ์ คุณพ่อสำรวย กิจสำเร็จ
อ้างอิง http://www.catholic.or.th/document/die1/body_index.html

ชมภาพการเสกสุสานศักดิ์สิทธิ์ แบบคาทอลิก
พิธีระลึกถึงผุ้ล่วงลับและพิธีเสกสุสานศักดิ์สิทธิ์วัดพระคริสตราชา ช้างมิ่ง อัครสังฆณฑลท่าแร่-หนองแสง
http://www.nbkradio.com/SusanChangming2009.php

พิธีระลึกถึงผุ้ล่วงลับและพิธีเสกสุสานศักดิ์สิทธิ์ ท่าแร่ อัครสังฆณฑลท่าแร่-หนองแสง
http://www.nbkradio.com/Susan2TR2009.php

วิทยุ "ใจดี" ..เซนต์นิโกลาส

วิทยุ "ใจดี" ..เซนต์นิโกลาส

loveisradio.com

kamsondeedee.com

gracebox.net

thaicatholicmission.com

missionarychildhood.com

konkhangwat.blogspot.com

saintagneskrabi.com อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลท่าแร

ฟรีโหลดเพลงคริสต์มาส - Christmas Songs

ฟรีโหลดเพลงคริสต์มาส
Christmas Songs & Music Download Free!

Little Voices: Holiday-The Loco-Motion- Let It Snow,let It Snow,let It Snow- Walking In The Air- Mary's Boy Child- Rudolph The Red Nosed Reindeer- Silent Night- Winter Wonderland
Little Voices: White Christmas-Jingle Bells-Santa Claus Is Coming To Town-We Wish You A Merry Christmas
Little Voices : - Merry Christmas Everyone- Last Christmas- Hooray! Hooray! It's A Holi-Holiday
Wondrous Xmas
WhiteXmas
กุมารนี้คือผู้ใด
ขอให้มีความสุขวันคริสต์มาส
We Wish You a Merry Xmas
We Wish You - (Brass Band)
เราทั้งสามเป็นปราชญ์บูรพา
ทั่วโลกา
The First Noel - (String)
Christmas Songs Midi
ระฆังเงิน
คืนนั้นเงียบสนิท
ซานตาครอสมาบ้านเรา
Rocking around the Christmas Tree
Red Nose
OXm Tree
ชาวเราคริสตัง
MERRILY
พระทรงบังเกิด
เพลงระฆัง
Jesu Joy - (String)
HRCMS
ถ้ำเบธเลแฮม
Hang Belem
พระเจ้าให้มีความอุ่นใจ
FROSTY Snow Man
องค์พระกุมารน้อยทรงบรรทม
Ave Maria (Symphony)
เห็นดาวทอง ( เนื้อเพลง )
Angels we have heard - (Rock)
โรจนาแด่พระเจ้า ( เนื้อเพลง )
Angels we have hear on high
ขอเชิญท่านผู้วางใจ ( เนื้อเพลง )
Adeste Fideles
What Child is This
We Three Kings
The Little Drummer Boy
Silver Bell
Silent night
Santa Claus is coming to town
Rudolph The Red Nose
O holy night
O Christmas tree
Joy to the world
Jingle Bell
Grandma got run over by a reindeer
God rest ye merry
Deck the Holly
Away in a manger
Ave Maria
Angels we have hear on high
Oh Come All Ye Faithful
รวมลิงค์ดาวน์โหลดเพลงคริสต์มาส

" จงร้องเพลงสรรเสริญสดุดี ถวายพระเจ้าของเราเถิด" (สดด 147:1)

"ยิ่งดนตรีศาสนามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพิธีกรรมมากเพียงใด
ก็ยิ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเพียงนั้น" (sc.114)

ดนตรีศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรม จึงเป็น "ขุมทรัพย์อันล้ำค่าของพระศาสนจักร
ที่จะต้องบำรุงรักษาไว้ด้วยความเอาใจใส่อย่างดีที่สุด" (sc.114)

Refer to http://nicholas-choir.blogspot.com/

เพลงคริสต์มาส (Chritstmas Songs)

เพลงคริสต์มาส (Chritstmas Songs)

เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ใน ศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี

ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จาก ประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อ โจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลง คริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

Refer to http://saintnic.ac.th/stdwork/s_dec12/my%20web/7.html

เทียน พวงมาลัยคริสต์มาส

เทียน พวงมาลัยคริสต์มาส

ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น

ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของ เทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ
แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุกอาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่านไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ

แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และ ทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า

มิสซาวันคริสต์มาส (Christmass Mass)

มิสซาวันคริสต์มาส (Christmass Mass)

เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบล เบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวาย มิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระ สันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาส

...ปัจจุบัน คำว่า "มิสซา" ได้ถูกเรียกเป็น "พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ" ..ตามคำเรียกของคาทอลิก(คริสตังค์)

ประวัติต้นคริสต์มาส Christmas Tree

ประวัติต้นคริสต์มาส Christmas Tree

ต้นคริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน
การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

ตำนานนิโกลาสของไมรา

ตำนานนิโกลาสของไมรา
เซนต์นิโกลาสแห่งไมรา, นักบุญนิโกลาส -คาทอลิกบิช็อปแห่งเมืองไมรา

ระหว่างศตวรรษที่ 9 ห้าร้อยปีหลังจากเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดตำนานของนักบุญนิโกลาสแห่งไมรา นักบุญ Methodius ของกรุงคอนสแตนติโนเปิล (นครอิสตันบูล) เขียนถึงประวัติของนักบุญนิโกลาส มีพื้นฐานที่นำมาจากนิทานหลายเรื่องที่ส่งต่อมาหลายศตวรรษ ทั่วอาณาจักรชาวคริสต์ ความนิยมของนักบุญนิโกลาสเติบโตขึ้นอย่างแพร่หลายในช่วงเวลานี้ และในไม่ช้าได้สถาปนาเป็นนักบุญอย่างเป็นทางการของศาสนาคริสต์ ระหว่างสมัยกลาง นักบุญนิโกลาสของไมรา กลายเป็นภาพลักษณ์ที่นิยมที่สุดรองลงมาจาก พระเยซู และพระแม่มารี ศิลปะที่แสดงถึงบุคลิกและการทำอัศจรรย์ของท่านหลาย ๆ ชิ้นเริ่มกลายเป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาไปทั่วตะวันออกกลางและยุโรป

หลายศตวรรษต่อมาการปฏิรูปของผู้ที่นับถือโปสแตสแตนท์บังคับให้คนจำนวนมาก ยกเลิกการเคารพบูชานักบุญนิโกลาสที่พวกเขารัก ระหว่างเวลาอันยาวนานนี้ นิทานที่คล้ายคลึงกันและตำนานของผู้นำของขวัญ เริ่มปรากฏขึ้นมาใหม่ระหว่างผู้ที่นับถือ นักบุญนิโกลาสยังมีชื่ออื่น ๆ มากมาย เช่น Christ Kindle (Kringle), Pere Noel and Father Christmas และได้รับความนิยมจากวัฒนธรรมที่ปฏิรูปไป

หลังจากอีกศตวรรษ ผู้ตั้งภูมิลำเนาชาวดัชต์ ทำให้ตำนานเก่าแก่มีชีวิตขึ้นมาใหม่ โดยเป็นนิทานของ Sinterklaas (ภาษาของชาวDutchที่พูดถึงนักบุญนิโกลาส) ในภูมิลำเนาของ อัมสเตอร์ดัมตำนานของชาว Dutchได้รับอิทธิพลมาก และแม้แต่หลังจากอังกฤษยึดดินแดนนี้และตั้งชื่อใหม่ว่า New York
นักบุญนิโกลาสยังคงถูกพูดถึงในหมู่คนที่อาศัยใน New York จำนวนมาก ว่า Sinterklaas และในที่สุดออกเสียงเป็นแบบอังกฤษว่า Santa Claus. โดยได้รับอิทธิพลจากการแสดงภาพล้อเลียนวัฒนธรรมชาว Dutch ในยุคต้นๆของ New York นักประพันธ์ชื่อ Washington Irving ได้ประพันธ์หนังสือ A History of New York (พิมพ์จำหน่ายในปี 1809) เป็นการบรรยาย Sintertaas แบบอเมริกัน และทำให้ภาพเก่าๆที่ปรากฏในโลกเก่าเป็นภาพที่ร่าเริงสดใส

ในกลางศตวรรษที่ 19 ภาพของนักบุญนิโกลาสได้กลายเป็นภาพทันสมัยแบบอเมริกา เมื่อปี 1863 นักวาดภาพล้อเลียนการเมืองชื่อ Thomas Nast ซึ่งลงหนังสือรายสัปดาห์ชื่อ Harpper’s Weekly การแสดงภาพของ Thomas Nast เป็นภาพ ซานตาคลอส ยุคใหม่ และกลายเป็นที่นิยมในนิตยสาร และมีอิทธิพลอย่างไม่น่าสงสัย มากกว่างานเขียนของนักเขียนที่ชื่อ Irving และ Moore เคยเขียนมาก่อน พร้อมทั้งวัฒนธรรมที่เป็นมรดก ที่ยืมมาจาก German ย่อมกลับมาที่นี่ สัปดาห์ต่อๆ มาเพื่อเพิ่มเติมเกี่ยวกับนักบุญนิโกลาสแห่งไมรา ที่วนเวียนไปถึง ซานตาคลอส ในปัจจุบัน

นักบุญนิโกลาสแห่งไมรา - ซานตาคลอส

เซนต์นิโกลาส- ซานตาคลอส
Saint Nicholas (Bishop of Myra) - Santa Claus


ก่อนที่จะมีตำนาน มีชายคนหนึ่ง..... เป็นเด็กกำพร้า เป็นนักบุญ เป็นอมตะ

มีข่าวเล่ากันว่านักบุญนิโกลาสเกิดจากพ่อ แม่ ชาวกรีกในนครของ Patara ในระหว่างปลายศตวรรษที่ 3 คริสตศักราช ที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ท่านเป็นลูกกำพร้า ขณะท่านยังเด็กอยู่ท่านได้รับมรดกมหาศาลจากพ่อ ซึ่งกระตุ้นให้ท่านออกเดินทางและทำให้ค้นพบตัวเอง โดยนำท่านไปสู่ยังนครMyra (ปัจจุบันเป็นเมือง Demre ในประเทศตุรกี) ที่นั้น ท่านมีชีวิต 2 แบบพร้อมกัน คือ ในเวลากลางวันท่านเป็นสังฆราชที่ศรัทธาในศาสนา(คริสต์) และในตอนกลางคืนท่านจะเป็นบุคคลนิรนามผู้นำของขวัญไปมอบให้แก่ผู้คน มีผู้คนน้อยมากที่จะรู้ตำนานเกี่ยวกับท่าน และยิ่งมีคนน้อยกว่านั้นที่จะทราบเบื้องหลังของนักบุญองค์นี้

เกือบ 300 ปี หลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ จักรวรรดิโรมันได้ขยายเติบโตอย่างกว้างใหญ่ไพศาล กว้างเกินไปที่จะปกครองด้วยจักรพรรดิองค์เดียวได้ จึงได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน การทำลายล้างชาติเบียดเบียนผู้นับถือศาสนาคริสต์ได้ทวีขึ้นและได้สิ้นสุดลงในตอนต้นศตวรรษที่ 4 ในขณะที่ท่านนิโกลาสเป็นสังฆราชของ Myra ชาวคริสต์ทุกคนที่นับถือศาสนาคริสต์อย่างซื่อสัตย์ บางคนที่ถูกฆ่าได้เป็นบุญราศีและบางคนถูกขังคุก โดยจักรพรรดิ 4 คน ของกรุงโรม โดยจักรพรรดิ Diocletian เป็นจักรพรรดิที่โหดร้ายที่สุดที่ปกครองทั้งตะวันออก คนจำนวนมากนับไม่ถ้วนถูกทรมานในระหว่างที่ท่านปกครอง รวมทั้งนักบุญนิโกลาสด้วย

ในระหว่างยุคนั้น เองที่มีความทุกข์ทรมานและโหดร้าย ความศรัทธาในพระเยซูเจ้าได้โดดเด่นชัดขึ้นมา ในประวัติศาสตร์หลังจากได้ทุกข์ทรมานจากการเบียดเบียนฆ่าล้างเป็นเวลาหลายปี นักบุญนิโกลาสในขณะที่ถูกขังคุกอยู่นั้นท่านได้รับข่าวว่ามีสงครามทางศาสนาที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เกิดขึ้น ได้มีความพยายามอีกครั้งหนึ่งที่จะรวมจักรวรรดิให้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิองค์เดียว ซึ่งจะทำให้การฆ่าล้างเบียนเบียน(คริสต์ศาสนา) สิ้นสุดลงโดยจักรพรรดิ Constantine (คอนสแตนติน) จักรวรรดิที่มีความขัดแย้งล้อมรอบ นักบุญนิโกลาสถูกบังคับให้ต้องเผชิญกับความโลภของผู้ว่าการชาวโรมันที่คดโกง พวกนั้นวางแผนต่อต้านจักรพรรดิConstantine และนายพลที่ท่านไว้วางใจ เด็กๆในเมือง Myra ก็ตกอยู่ในอันตรายที่ค่อยๆทวีความรุนแรงมากขึ้น เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะนำไปยังจุดเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ และเป็นตำนานที่น่าชื่นชมต่อมา….

Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส

Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส

คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรีย แห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

ประวัติวันคริสต์มาส

ประวัติวันคริสต์มาส

(Christmas หรือ X'Mas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์
ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม พระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน

เป็นคำทับศัพท์ภาษา อังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า" Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส : ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่ง ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวัน หรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่ง ส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

Thursday, October 28, 2010

ประวัติวันฮัลโลวีน

ประวัติวันฮัลโลวีน

วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป

บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน 'All Souls' พวกเขาจะเดินร้องขอ 'ขนมสำหรับวิญญาณ' (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น

ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้

ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด

Halloween: วันฮาโลวีน 31 ตุลาคม

Halloween: วันฮาโลวีน 31 ตุลาคม

Halloween (or Hallowe'en) is an annual holiday observed on October 31, primarily in the United States, Canada, Ireland, and the United Kingdom. It has roots in the Celtic festival of Samhain and the Christian holiday All Saints' Day, but is today largely a secular celebration.

Common Halloween activities include trick-or-treating, wearing costumes and attending costume parties, carving jack-o'-lanterns, ghost tours, bonfires, apple bobbing, visiting haunted attractions, committing pranks, telling ghost stories or other frightening tales, and watching horror films.

วันฮาโลวีน
วันฮาโลวีน (อังกฤษ: Halloween) เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)
การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เซนต์นิโกลาส On Youtube

เซนต์นิโกลาส บนยูทูป
Saint Nicholas School On Youtube.com...

โรงเรียนเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก
228 ถ.วิสุทธิกษัตริย์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000
โทร. 0-5530-2618 ต่อ 311 แฟ็กซ์ 0-5530-2618

Saint Nicholas School
228 Wisutkasart Street, Tambol Naimaung, Amphur Maung,
Phitsanulok, Thailand. 65000
(English Program -E.P. ) K2-K3, G1-G9


อีเมล์ saintnic.ac.th@hotmail.com
เว็บไซต์ http://www.saintnic.ac.th/
รับสมัครนักเรียนและเปิดสอน ตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาล - ม.3

(มีหลักสูตรสองภาษา English Program-E.P.)
มีสอนภาษาจีนกลาง.. และในปีการศึกษา 2554 ที่จะถึงนี้ เปิด ม.ปลาย ม.4


Saint Nicholas School Phitsanulok
โรงเรียนเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก...
ในโอกาสฉลอง 80 ปี แห่งการก่อตั้งโรงเรียน ที่จะฉลองใน 4 ธันวาคม 2553 นี้..
จึงขอรวบรวมมาไว้บริการให้ศิษย์เก่าฯ และทุกท่าน..

ศิษย์เก่าฯ โรงเรียนเซนต์นิโกลาสและหลายคนๆ ...ที่ไปดูหนัง "รักแห่งสยาม"..
พอได้ยินชื่อ "เซนต์นิโคลาส" ...ก็นึกถึง โรงเรียนเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก ซึ่งมีอยู่จริงๆ ขึ้นมา...
ในโอกาสนี้ก็ขอนำภาพต่างๆ มานำเสนอให้ศิษย์เก่าได้เกิดความรักและภูมิใจ..
แนะนำให้ท่านได้รู้จักโรงเรียนเซนต์นิโกลาส ซึ่ง ปีนี้ จะฉลอง 80 ปี การก่อตั้ง...

กิจกรรมที่สำคัญในโอกาสฉลอง 80 ปี โรงเรียนเซนต์นิโกลาส

11-12 พ.ย. 2553
วันวิชาการโรงเรียนเซนต์นิโกลาส โอกาส 80 ปี แห่งการก่อตั้งฯ..

4 ธ.ค. 2553
วันฉลอง 80 ปี โรงเรียนเซนต์นิโกลาส, 90 ปี วัดเซนต์นิโกลาส
และ ฉลอง 25 ปี แห่งการเป็นสงฆ์ (คาทอลิก) ของบาทหลวงมนตรี เพียรรุ่งเรือง (ลูกวัดคนแรกที่บวชเป็นบาทหลวงคาทอลิกของวัดเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก)
พิธีเริ่ม 10.00 น. โดยประมาณ...มีการเสกโดมใหม่ " โดม Deus Caritas Est " -พระเจ้าทรงเป็นความรัก
และการเสกหอระฆังใหม่...
ศิษย์ปัจจุบัน-ศิษย์เก่าโรงเรียนเซนต์นิโกลาสและสัตบุรุษลูกวัดเซนต์นิโกลาสทุกคน
ร่วมกับบาทหลวงประเสริฐ สิทธิ ผู้อำนวยการโรงเรียนเซนต์นิโกลาส และเจ้าอาวาสวัดเซนต์นิโกลาส
ขอเชิญทุกท่านได้ร่วมเป็นเกียรติ..ในงานฉลองโอกาสพิเศษนี้..

ในโอกาสนี้ ทางวัดและโรงเรียนเซนต์นิโกลาส ได้จัด"หนังสืออนุสรณ์ 80 ปี โรงเรียนเซนต์นิโกลาส และ 90 ปี วัดเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก" ขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์แห่งความเชื่อของชุมชนวัดคาทอลิกที่พิษณุโลก, ประวัติศาสตร์การก่อตั้งโรงเรียนเซนต์นิโกลาส อัตลักษณ์ในการพัฒนาการศึกษาที่เน้นความรู้คู่คุณธรรม ...จากอดีตถึงปัจจุบัน..

ขอเชิญศิษย์เก่า - ลูกวัด หรือผู้ที่ต้องการจะเป็นสปอนเซอร์ (ลงโฆษณา) ได้สนับสนุนการจัดพิมพ์หนังสืออนุสรณ์ฯ อันทรงคุณค่านี้..ได้ที่
-ผู้อำนวยการฯ -เจ้าอาวาสวัดฯ โทร. 081-3119182, 0-5530-2618 ต่อ 311
-ผู้ประสานงาน: 083-4897276
- saintnic.ac.th@hotmail.com

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553
สมาคมผู้ปกครอง-ครู ผู้ปกครองเครือข่ายและโรงเรียนเซนต์นิโกลาส
เชิญท่านร่วมงาน " ๘๐ ปี เซนต์นิโกลาสสัมพันธ์" ณ สนามโรงเรียนเซนต์นิโกลาส
..บริเวณโดม Deus Caritas Est ..มีงานเลี้ยงสังสรรค์.. บัตรโต๊ะจีน พบปะสังสรรค์ สนุกสนานกับวงดนตรี
ติดต่อซื้อบัตรได้ที่.. 0-5530-2618 ต่อ 311

24-25 ธันวาคม 2553
งานวันคริสต์มาส วัดเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก โอกาส 90 ปี ...

อัพเดทข่าวสารโรงเรียนเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก ได้ที่นี่
เว็บไซต์ทางการ http://saintnic.ac.th/
เว็บบอร์ด http://saintnic.ob.tc/-board.php
Teacher (ครู) โรงเรียนเซนต์นิโกลาส http://gotoknow.org/planet/erkm-sn



Christmas Day 2009 - Saint Nicholas School ,Pitsanulok, Thailand.

Christmas Day 2009 - Saint Nicholas School ,Pitsanulok, Thailand. Merry Christmas & Happy New Year to everyone. We wish all of you be happy and full with the grace of Jesus Child who was born for us. May you be lucky for this New Year 2010 too.
Visit us at www.saintnic.ac.th to know more about our Saint Nicholas School, Phitsanulok, Thailand.
ชมภาพวันคริสต์มาสโรงเรียนเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก ระหว่างวันที่ 23-24 ธันวาคม 2009 , พร้อมทั้งการเฉลิมฉลองเป็นพิเศษสำหรับคืนแ­ละวันสมโภชพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ของวัดเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก วัดคาทอลิกแห่งเดียวใน อ.เมือง จ.พิษณุโลก ปีนี้มีการจัดงานและประดับประดาอย่างยิ่งใ­หญ่ขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองอย่างชื่นชมยินดีในโอกาสวัน­คริสต์มาส ที่พระเยซูคริสตเจ้าได้เสด็จมาเพื่อเราทุก­คน
All of you visit us at Phitsanulok, Thailand during 24-25 December every year.
Saint Nicholas Church: Christmas Midnight Mass on 24 December at 21.30 , before Mass we have the Big Party of Christmas Night: Christmas Carols, the Christmas Light show, the nativity story of Jesus Child Drama, etc. It may be the Light Star Festival in next year and the Santa Claus Fantacy.
May Saint Nicholas of Myra - Santa Claus who is our Father be so kind for you too.

Bishop Pibul blessed St Nicholas School

Bishop Pibul blessed St Nicholas School on Phitsanulok Thailand.


Many & Friends Kindergarten 2-3 V.1-1

รวมกิจกรรมต่างๆ ของน้องเมนี่ กับเพื่อนๆ ตอนอนุบาล 2- อนุบาล 3 รร.เซนต์นิโกลาส

The Nativity Story 6-10

The Nativity Story 6-10 (มี 10 ตอน)

The Nativity Story,
which focuses on the period in Mary and Joseph's life where they journeyed to Bethlehem for the birth of Jesus. ...

เรื่องราว ภาพยนตร์ที่นำเราเข้าสู่ช่วงเวลาที่มารีย์และโยเซฟ เดินทางไปยังเบธเลแฮม..
สู่การบังเกิดของพระเยซูคริสต์...

ดูหนังออนไลน์หรือดาวน์โหลด.. หนังประวัติการบังเกิดของพระเยซูคริสต์เจ้า...
ต้นกำเนิดแห่งวันคริสต์มาสได้ที่นี่

The Nativity Story 6



The Nativity Story 7



The Nativity Story 8



The Nativity Story 9



The Nativity Story 10

The Nativity Story 1-5

The Nativity Story 1-5 (มี 10 ตอน)

The Nativity Story,
which focuses on the period in Mary and Joseph's life where they journeyed to Bethlehem for the birth of Jesus. ...

เรื่องราว ภาพยนตร์ที่นำเราเข้าสู่ช่วงเวลาที่มารีย์และโยเซฟ เดินทางไปยังเบธเลแฮม..
สู่การบังเกิดของพระเยซูคริสต์...

ดูหนังออนไลน์หรือดาวน์โหลด.. หนังประวัติการบังเกิดของพระเยซูคริสต์เจ้า...
ต้นกำเนิดแห่งวันคริสต์มาสได้ที่นี่

The Nativity Story 1



The Nativity Story 2



The Nativity Story 3



The Nativity Story 4



The Nativity Story 5

The King Is Born

The King Is Born

http://www.nestentertainment.com/the-...
King is Born is a video classic about the birth of Jesus!

Beginning with the angel Gabriel announcing God's blessed plan for Mary, this video brings all the elements of this timeless story to life. Journey with Mary and Joseph to Bethlehem and witness the humble birth of our Savior.

A terrific way to teach young boys and girls the story of God's faithfulness. Order now for that special family member or friend, and learn about the story of Christmas through animation!

Birth of Jesus - Children's Bible Stories

Birth of Jesus -
Children's Bible Stories
การบังเกิดของพระเยซู (เรื่องราวพระคัมภีร์ไบเบิ้ลสำหรับเด็กๆ)

Children's Bible Stories - The Birth of Jesus
The story of Mary, Joseph and baby Jesus.

Produced/Edited - Stef B.Narration - John Hughes.
Cameramen - Stephen Heaton, Dyfed John, Stef B.Script - Steve Jones.
Music by - Stef B, Paul Farrer.Illustrations - Fred Corser.

Available on DVD: CHILDREN'S BIBLE STORIES
from www.valleystream.co.ukc/ValleyStream Media 1997

The Birth of Jesus - Luke 2: 1-20

The Birth of Jesus - Luke 2: 1-20
การบังเกิดของพระเยซู (ลก. 2:1-20)

Produced by the Victoria Video Club Workshop 2005.

This video brought together five members of the video club for a rewarding project working with the Cadboro Bay United Church, Minister Mark Green, the wonderful children from the Sunday School, Paul Miles for his narration, and musician Christine Chepyha and sound engineer Gordon Miller who produced the soundtrack.


True meaning of Christmas - The LORD JESUS-CHRIST

True meaning of Christmas -
The LORD JESUS-CHRIST
ความหมายที่แท้จริงของคริสต์มาส
คือ พระเยซูคริสตเจ้า

The holiday season is upon us once again...
wishing you all a joyous time during this festive season...
peace, love, joy with family and friends.

Song by Kenny Rogers
- What a Wonderful Beginning.

The history of Christmas

Christmas.Also called:
Christ's Mass,Nativity, Noel
Observed by: Christians &Many non-Christians alike
Type: Christian, cultural
Significance: Traditional birthday of Jesus
Date: December 25(or January 7 in Eastern Orthodox / Catholic churches)
Observances: Gift giving, church services, family and other social gatherings, symbolic decorating
Related to: Annunciation, Advent, Epiphany, Baptism of the Lord


Christmas or Christmas Day is a holiday held on December 25 to commemorate the birth of Jesus, the central figure of Christianity. The date is not known to be the actual birth date of Jesus, and may have initially been chosen to correspond with either the day exactly nine months after some early Christians believed Jesus had been conceived, the date of the winter solstice on the ancient Roman calendar, or one of various ancient winter festivals. Christmas is central to the Christmas and holiday season, and in Christianity marks the beginning of the larger season of Christmastide, which lasts twelve days.

Although a Christian holiday, Christmas is also widely celebrated by many non-Christians, and some of its popular celebratory customs have pre-Christian or secular themes and origins. Popular modern customs of the holiday include gift-giving, music, an exchange of greeting cards, church celebrations, a special meal, and the display of various decorations; including Christmas trees, lights, garlands, mistletoe, nativity scenes, and holly. In addition, Father Christmas (known as Santa Claus in some areas, including North America, Australia and Ireland) is a popular folklore figure in many countries, associated with the bringing of gifts for children.

Because gift-giving and many other aspects of the Christmas festival involve heightened economic activity among both Christians and non-Christians, the holiday has become a significant event and a key sales period for retailers and businesses. The economic impact of Christmas is a factor that has grown steadily over the past few centuries in many regions of the world.

The word Christmas originated as a compound meaning "Christ's Mass". It is derived from the Middle English Christemasse and Old English Cristes mæsse, a phrase first recorded in 1038. "Cristes" is from Greek Christos and "mæsse" is from Latin missa (the holy mass). In Greek, the letter Χ (chi), is the first letter of Christ, and it, or the similar Roman letter X, has been used as an abbreviation for Christ since the mid-16th century. Hence, Xmas is sometimes used as an abbreviation for Christmas.

For many centuries, Christian writers accepted that Christmas was the actual date on which Jesus was born.In the early eighteenth century, scholars began proposing alternative explanations. Isaac Newton argued that the date of Christmas was selected to correspond with the winter solstice, which the Romans called bruma and celebrated on December 25

In 1743, German Protestant Paul Ernst Jablonski argued Christmas was placed on December 25 to correspond with the Roman solar holiday Dies Natalis Solis Invicti and was therefore a "paganization" that debased the true church.

[According to the Judeo-Christian tradition, creation was on the date of the spring equinox, i.e. March 25 on the Roman calendar. This date is now celebrated as Annunciation and as the anniversary of Incarnation. In 1889, Louis Duchesne suggested that the date of Christmas was calculated as nine months after Annunciation, the traditional date of the conception of Jesus.

The December 25 date may have been selected by the church in Rome in the early fourth century. At this time, a church calendar was created and other holidays were also placed on solar dates: "It is cosmic symbolism...which inspired the Church leadership in Rome to elect the winter solstice, December 25, as the birthday of Christ, and the summer solstice as that of John the Baptist, supplemented by the equinoxes as their respective dates of conception. While they were aware that pagans called this day the 'birthday' of Sol Invictus, this did not concern them and it did not play any role in their choice of date for Christmas," according to modern scholar S.E. Hijmans.

The History of Christmas [5/5]

The History of Christmas [5/5]
ประวัติคริสต์มาส ตอนที่ 5

People all over the world celebrate the birth of Christ on December 25th. But why is the Nativity marked by gift giving, and was He really born on that day? And just where did the Christmas tree come from? Take an enchanting tour through the history of this beloved holiday and trace the origins of its enduring traditions. Journey back to the earliest celebrations when the infant religion embraced pagan solstice festivals like the Roman Saturnalia and turned them into a commemoration of Jesus' birth. Learn how Prince Albert introduced the Christmas tree to the English-speaking world in 1841, and discover how British settlers in the New World transformed the patron saint of children into jolly old St. Nick.This documentary explores the origin of Christmas and how it came to be the way we know it today. The documentary also incites the thought as to how Christmas is on one hand a result of social, cultural, and political influences (hence somewhat obscuring the apparent purpose of the festival: Christ's Mass), and on the other hand a influence over people's lives (particularly consumerism).

The History of Christmas [4/5]

The History of Christmas [4/5]
ประวัติเทศกาลคริสต์มาส ตอนที่ 4



People all over the world celebrate the birth of Christ on December 25th. But why is the Nativity marked by gift giving, and was He really born on that day? And just where did the Christmas tree come from? Take an enchanting tour through the history of this beloved holiday and trace the origins of its enduring traditions. Journey back to the earliest celebrations when the infant religion embraced pagan solstice festivals like the Roman Saturnalia and turned them into a commemoration of Jesus' birth. Learn how Prince Albert introduced the Christmas tree to the English-speaking world in 1841, and discover how British settlers in the New World transformed the patron saint of children into jolly old St. Nick.This documentary explores the origin of Christmas and how it came to be the way we know it today. The documentary also incites the thought as to how Christmas is on one hand a result of social, cultural, and political influences (hence somewhat obscuring the apparent purpose of the festival: Christ's Mass), and on the other hand a influence over people's lives (particularly consumerism).

The History of Christmas [3/5]

The History of Christmas [3/5]
ประวัติความเป็นมาวันคริสต์มาส ตอนที่ 3

People all over the world celebrate the birth of Christ on December 25th. But why is the Nativity marked by gift giving, and was He really born on that day? And just where did the Christmas tree come from? Take an enchanting tour through the history of this beloved holiday and trace the origins of its enduring traditions. Journey back to the earliest celebrations when the infant religion embraced pagan solstice festivals like the Roman Saturnalia and turned them into a commemoration of Jesus' birth. Learn how Prince Albert introduced the Christmas tree to the English-speaking world in 1841, and discover how British settlers in the New World transformed the patron saint of children into jolly old St. Nick.This documentary explores the origin of Christmas and how it came to be the way we know it today. The documentary also incites the thought as to how Christmas is on one hand a result of social, cultural, and political influences (hence somewhat obscuring the apparent purpose of the festival: Christ's Mass), and on the other hand a influence over people's lives (particularly consumerism).

History of Christmas 2

History of Christmas 2
ประวัติวันคริสต์มาส

People all over the world celebrate the birth of Christ on December 25th. But why is the Nativity marked by gift giving, and was He really born on that day? And just where did the Christmas tree come from? Take an enchanting tour through the history of this beloved holiday and trace the origins of its enduring traditions. Journey back to the earliest celebrations when the infant religion embraced pagan solstice festivals like the Roman Saturnalia and turned them into a commemoration of Jesus' birth. Learn how Prince Albert introduced the Christmas tree to the English-speaking world in 1841, and discover how British settlers in the New World transformed the patron saint of children into jolly old St. Nick.

This documentary explores the origin of Christmas and how it came to be the way we know it today. The documentary also incites the thought as to how Christmas is on one hand a result of social, cultural, and political influences (hence somewhat obscuring the apparent purpose of the festival: Christ's Mass), and on the other hand a influence over people's lives (particularly consumerism).

The History of Christmas ประวัติวันคริสต์มาส 1

The History of Christmas ประวัติวันคริสต์มาส 1
ต้นกำเนิดแห่งเทศกาลส่งความรักและความสุข Merry Christmas
...From Jesus Christ to Saint Nicholas, Bishop of Myra to become Santa Claus

People all over the world celebrate the birth of Christ on December 25th. But why is the Nativity marked by gift giving, and was He really born on that day? And just where did the Christmas tree come from? Take an enchanting tour through the history of this beloved holiday and trace the origins of its enduring traditions. Journey back to the earliest celebrations when the infant religion embraced pagan solstice festivals like the Roman Saturnalia and turned them into a commemoration of Jesus' birth. Learn how Prince Albert introduced the Christmas tree to the English-speaking world in 1841, and discover how British settlers in the New World transformed the patron saint of children into jolly old St. Nick.This documentary explores the origin of Christmas and how it came to be the way we know it today. The documentary also incites the thought as to how Christmas is on one hand a result of social, cultural, and political influences (hence somewhat obscuring the apparent purpose of the festival: Christ's Mass), and on the other hand a influence over people's lives (particularly consumerism).

Welcome to Saint Nicholas

Welcome to Saint Nicholas...

Jesus Christ - Saint Nicholas of Myra - Santa Claus - Christmas

Today is an early day home and time to spend with the family as in Holland we celebrate the birthday of Saint Nicholas, or Sinterklaas as we call him.

Saint Nicholas (270 - December 6, 346) is the common name for Nicholas of Myra, a Lycian saint and Bishop of Myra in Lycia of Anatolia (modern-day Antalya province, Turkey, though at the time it was a Greek-speaking Roman Province). Because of the many miracles attributed to his intercessions, he is also known as Saint Nicholas the Wonderworker. He had a reputation for secret gift-giving, such as putting coins in the shoes of those who left them out for him, and is now commonly identified with Santa Claus. Nicholas was never officially canonised; his reputation simply evolved among the faithful, as was the custom in his time. In 1087, his relics were furtively translated to Bari in southern Italy. For this reason, he is also known as Saint Nicholas of Bari. [wikipedia]

Santa Claus is primarily an American commercial concoction, which has nothing to do with Christmas and in the Netherlands we still prefer Sinterklaas as gift-machine over Santa Claus, which is quite fortunate as we have a half month headstart to predict how hard the credit crunch and recession really kicks in.
Well, rest assured ye merry gentlemen, nothing is wrong with the world. Sinterklaas sales have reached a record high again this year and prospects for Christmas sales are good too. Well, not entirely true, but the Saint doesn't seem touched by the turmoil of the credit crunch and recession.
For a little more background on Saint Nicholas, and how he became Santa and got screwed by Coca-Cola, check out the St. Nicholas Center website.

" ต้นกำเนิด การสืบทอดตำนานแห่งความใจดี..
เป็นความรัก แบบ Agape ที่เป็นความรักแบบเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน...
ต้นกำเนิดความรักที่แสดงออกเป็นพิเศษในช่วงเดือนธันวาคม ที่ทุกคนต่างก็รู้จักกันดี
" คริสต์มาส" ... เริ่มต้นจากพระเยซูคริสต์เจ้า ของชาวคริสต์..
ได้ให้แบบอย่างและการเจริญชีวิตในความรักแบบเมตตากรุณา... ความใจดี..
สู่ นักบุญนิโกลาส..พระสังฆราชแห่งไมรา...
ส่งต่อเป็นตำนานแห่งผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา..ที่เล่าขานถึงตำนานความใจดีของผู้หนึ่ง
ที่คอยส่งของขวัญให้ทุกคนในช่วงวันคริสต์มาส... " ซานตาคลอส"..

ติดตามและแบ่งปัน ทุกเรื่องราวจากต้นกำเนิดและความต่อเนื่อง แห่ง"ความใจดี"
ความรักที่เมตตากรุณา...ได้ที่นี่... " Saint Nicholas" - “ เซนต์นิโกลาส"
มิติใหม่แห่งการโฆษณา
จ่ายน้อยกว่าที่คิด
เห็นผลมากกว่าที่คาด

พิสูจน์ด้วยตาคุณเองวันนี้



ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่

Saint Nicholas Dec 6

Saint Nicolas Church of Bari (Myra)

SANTA CLAUS -FATHER CHRISTMAS BORN IN TURKEY

Learning is fun & happy! การเรียนรู้ที่เปี่ยมสุขและสนุก (Happy & Fun Learning) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสติปัญญาให้เรียนรู้ได้ดียิ่งๆ ขึ้น